☀เคล็ดลับในทางโหราศาสตร์เพิ่มเติม ที่ต้องรู้☀
*ดาวพฤหัส ๕ เล็งลัคนา ทายว่า ตอนเด็ก ๆ ต้องยกให้เป็นลูกคนอื่น หรือต้องนำไปให้คนอื่นเลี้ยง หากไม่ ทำอย่างนั้น ก็มักจะเป็นเด็กที่เลี้ยงยาก อย่างน้อยก็ต้องให้ปู่ย่าตายาย หรือพระสงฆ์ผูกข้อมือรับขวัญเป็นบุญธรรม
*เคล็ดลับดวงผู้หญิงท่านใด หากว่าในพื้นดวงชะตากำเนิด.... พระจันทร์ ๒ กุมลัคนา มักมีหน้าอกสวย มีน้ำนมให้ลูกกิน มีเสน่ห์ หน้าอกสวย ไม่ใช่หน้าอกใหญ่นะครับ ให้เข้าใจด้วย แต่ที่ประสบพบตามหลักวิชามา ผู้หญิงที่ มีดาวจันทร์ ๒ กุมภ์ลัคนา และได้ตำแหน่งมหาอุจ หน้าอกใหญ่ และสวยงามมาก มีเสน่ห์สุด ๆ บางคนไปได้ถึงตำแหน่งนางงามครับ แต่เท่าที่เห็น แม้ว่าดาวจันทร์ ๒ ในดวงชะตาหญิง แม้ว่าไม่ได้กุมลัคนา แต่ได้ตำแหน่งเกษตร มหาอุจ มหาจักร ราชาโชค เทวีโชค หน้าอกสวยทุกคนครับ บางคนน่าอกเล็ก แต่ก็สวย มีเสน่ห์มาก ๆ นั่นเองครับ จริง-เทจ อย่างไร ลองใช้หลักวิชาครู ไปสืบค้นหาความจริงกันต่อแล้วกันนะครับศิษย์รักทุกท่าน
*ดาวศุภเคราะห์นำหน้าลัคนา ดาวดวงใด ถ้าสถิตอยู่ที่ภพกฎุมภะ จะเรียกดาวดวงนั้นว่าเป็นดาวศูนย์พาหะ และหากว่าดาวศุภเคราะห์ เป็นดาวศูนย์พาหะมักจะมีใบหน้าสวย มีเสน่ห์ ใบหน้าไม่ค่อยจะแก่ หรือไม่ค่อยจะเหี่ยวย่น ดาวต่อไปนี้ เรียกว่า ดาวศุภเคราะห์ ได้แก่... “ดาวจันทร์ ๒ ดาวพุธ ๔ ดาวพฤหัสบดี ๕ และดาวศุกร์ ๖” ดาวนอกจากนี้ จะเรียกกันว่า “ดาวบาปเคราะห์” ได้แก่.... “ดาวอาทิตย์ ๑ ดาวอังคาร ๓ ดาวเสาร์ ๗ ดาวราหู ๘” ส่วนดาวอีก 2 ดวง ได้แก่... ดาวเกตุ ๙ และดาวมฤตยู จะจัดอยู่ในดาวผสมผสาน คือ เมื่ออยู่ร่วมกับดาวบาปเคราะห์ ก็จะกลายเป็นดาวบาปเคราะห์ เมื่ออยู่ร่วมกันกับดาวศุภเคราะห์ ก็จะกลายเป็นดาวศุภเคราะห์ ซึ่งที่กล่าวมา เป็นดาวทั้ง 10 ดวง ในทางโหราศาสตร์ไทย แต่ถ้าเป็นหลักวิชาโหราศาสตร์จักรราศี ในแบบ “กราฟจักรราศี อินทราโหราศาสตร์ไทย ระบบดาวกระจาย” จะมีดาวเพิ่มขึ้นมาอีก 2 ดวง ได้แก่... “ดาวมันนี่เลิฟ M และ ดาวโพเสท P” ซึ่งจะถูกจัดดาวทั้ง 2 ดวงนี้ ให้เป็นดาวในฝั่ง “ดาวศุภเคราะห์” นั่นเองครับ การโคจรของดาวทั้ง 2 ระบบ อันได้แก่... การโคจรของดาวในระบบโหราศาสตร์ไทย ก็จะมีวงโคจรรอบ “เขาพระสุเมรุ” อันเป็นที่อยู่ขององค์พระศิวะ ด้วยเช่นกันกับหลักวิชา “กราฟจักรราศี อินทราราศีจักรสากลโชคมงคลชัยชนะ” และมีสูตรการคำนวณ ในวงโคจรไปตามสูตรในทั้ง 2 แบบ แต่ในแต่ละแบบ หรือในแต่ละระบบ ก็มีสูตรการคำนวณที่แตกต่างกัน แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน คือ ความต้องการในด้านผลลัพธ์ ในหลักการพยากรณ์ดวงชะตา แก้ไข ส่งเสริม พัฒนาสักยภาพของเจ้าของดวงชะตา ให้ตอบโจทย์การใช้ชีวิต ตอบโจทย์ความต้องการของเจ้าของดวงชะตา ให้ได้มากที่สุด ระบบจะดีเพียงใด จะตอบโจทย์ดวงชะตาได้ดีเพียงใด เจ้าของระบบ ไม่สามารถที่จะรับรองอะไรได้ ผู้ที่รับรองได้ คือ ผู้ที่ตั้งโจทย์หรือเจ้าของดวงชะตาดวงนั้นนั่นเอง ระบบในหลักวิชา ครูมองว่า สิ่งที่จะสามารถตอบโจทย์เจ้าของชะตาได้ดี นั่นน่าจะเป็นผู้นำหลักวิชาเอาไปใช้เป็นหลักสำคัญ วิชาดีแค่ไหน ระบบดีแค่ไหน หากว่าผู้นำไปใช้ ไม่มีความรู้ ไม่มีประสบการณ์ ไม่มีความชำนาญที่แท้จริง ระบบใด ๆ เกี่ยวกับหลักวิชาการพยากรณ์ ก็ไม่สามารถตอบโจทย์ได้ดีอย่างแน่นอน สิ่งที่สำคัญ เป็นอันดับต้น ๆ ครูมองว่า น่าจะเป็นผู้นำหลักวิชาไปใช้มากกว่า อาทิเช่น หมอรักษาโรค 10 คน เรียนโรงเรียนเดียวกัน มีอาจารย์คนเดียวกัน ใช้ตำราในแบบเดียวกัน เมื่อมารักษาโรคเดียวกัน หมดอีกคนรักษาได้ดี หมออีกคน รักษาไม่ได้เรื่อง ทั้ง ๆ ที่เรียนโรงเรียนเดียวกัน มีอาจารย์คนเดียวกัน ใช้ตำราในแบบเดียวกัน นั่นเองครับ
*ดาวศุภเคราะห์ ส่งผลไปในทิศทางที่นิ่มนวล ค่อยเป็นค่อยไป สบาย ๆ ไม่ลำบาก หากส่งผลดี ก็จะดีในแบบนิ่มนวล บางครั้งไม่สังเกตก็อาจมองไม่เห็น ถ้าส่งผลร้าย ก็จะค่อยแทรกซึม เป็นไปในแบบนิ่ม ๆ ออกไปในทางทุกข์ใจมากกว่าทุกข์กาย ส่วนดาวบาปเคราะห์ ส่งผลไปในทิศทางที่โลดโผด อยู่นิ่งไม่ได้ ส่งผลในแบบจู่โจม จะได้อะไรมาสักทีก็ต้องเหนื่อยซะก่อน หากเกิดผลไม่ดี ก็จะเกิดในแบบโผงผาง ทุกคนเห็นกันไปทั่ว ถ้าส่งผลร้าย ก็จะออกไปในแนวทุกข์กาย มากกว่าทุกใจ นั่นเองครับ
*สูตรการคำนวณการโคจรของดาว แม้ว่าจะเป็นคนละสูตรกัน ในแต่ละระบบ แต่เมื่อสมัยก่อน จะเข้าใจได้อย่างชัดเจนว่า ดาวที่กล่าวกันตามสูตร คือ ดาวทิพย์ ที่มองด้วยตา มโนด้วยจิต ใช้หลักความเชื่อเป็นสำคัญ โดยยึดหลักแนวศาสนาเป็นการเชื่อมโยง ยึดการโคจรของดาว สมมุติว่า “โคจรอยู่รอบเขาพระสุเมรุ” แต่ในปัจจุบัน พยายามโยงเข้าสู่วัตถุ มองดาวเป็นดาว ห่างไกลจากความเชื่อในอดีตกันไปทุก ๆ วัน ด้วยโลกวัตถุ แทรกแซงโลกแห่งจิตวิญญาณ จนทำให้โลกจิตวิญญาณ หรือโลกแห่งความเชื่อ จะถูกลบออกจากสารระบบ โดยถูกโลกวัตถุเข้ามาโจรกรรม สวมรอย จนยุคปัจจุบัน ใช้กล้องส่องดูดาว แล้วเอาหลักความเชื่อของเดิมไปโยง แต่ใช้ทฤษฎีใหม่ ในการคำนวณ ทำให้องศา ลิปดา ตามหลักโหราศาสตร์ไทย ในแบบโบราณ เริ่มจะเพี้ยนไป การคิดคำนวณองศา ลิปดา ของวงโคจรของสูตรดาวแต่โบราณ จึงเกิดการผิดเพียนไปจากปฏิทินดาราศาสตร์ในยุคปัจจุบันเข้าไปเรื่อย เป็นเหตุให้ครูต้องนำเอาหลักวิชาของการใช้ดาวทิพย์ คำนวณในทางโหราศาสตร์ไทย ระบบดาวกระจาย นำเอามาเปิดเผย เพื่ออนุรักษ์ความเชื่อ ความรู้ ในเรื่องของดาวทิพย์ ที่ไม่เกี่ยวกับการใช้หลักวัตถุนิยม ขึ้นมาใช้กัน และมีสูตรการคำนวณหาตำแหน่งดาว ที่โคจรในวงรอบจักรราศี ว่าดาวดวงใด ใน 12 ดวง โคจรอยู่ที่ตำแหน่งราศีใด ทั้งพื้นดวงกำเนิด จรปี จรเดือน และจรวัน โดยทิ้งเงื่อนไขขององศา และลิปดาออกไป จัดสูตรจำเพาะ ให้เป็นพลังกราฟขึ้นมาแทน อันเป็นการแยกแยะเกร็ดพลังดาว แทนที่การใช้ องศา ลิปดา ของดาวในแต่ละดวงไป โดยใช้สูตรแรงเหวี่ยง ของดาว ตาม “คัมภีร์อินทรเนตร” มาเป็นสูตรในการใช้คำนวณตำแหน่งดาวทิพย์ ให้ได้ใช้งานกันในแง่มุมของการพยากรณ์ดวงชะตา ตามหลักวิชานั่นเองครับ
💗 ให้ความรู้โดย.... ปรมาจารย์ เจียระไน โชคมงคลชัยชนะ
ID Line: aj.jiaranai
☀เคล็ดลับในทางโหราศาสตร์เพิ่มเติม ที่ต้องรู้☀ *ดาวพฤหัส ๕ เล็งลัคนา ทายว่า ตอนเด็ก ๆ ต้องยกให้เป็นลูกคนอื่น หรือต้องนำไปให้คนอื่นเลี้ยง หากไม่ ทำอย่างนั้น ก็มักจะเป็นเด็กที่เลี้ยงยาก อย่างน้อยก็ต้องให้ปู่ย่าตายาย หรือพระสงฆ์ผูกข้อมือรับขวัญเป็นบุญธรรม *เคล็ดลับดวงผู้หญิงท่านใด หากว่าในพื้นดวงชะตากำเนิด.... พระจันทร์ ๒ กุมลัคนา มักมีหน้าอกสวย มีน้ำนมให้ลูกกิน มีเสน่ห์ หน้าอกสวย ไม่ใช่หน้าอกใหญ่นะครับ ให้เข้าใจด้วย แต่ที่ประสบพบตามหลักวิชามา ผู้หญิงที่ มีดาวจันทร์ ๒ กุมภ์ลัคนา และได้ตำแหน่งมหาอุจ หน้าอกใหญ่ และสวยงามมาก มีเสน่ห์สุด ๆ บางคนไปได้ถึงตำแหน่งนางงามครับ แต่เท่าที่เห็น แม้ว่าดาวจันทร์ ๒ ในดวงชะตาหญิง แม้ว่าไม่ได้กุมลัคนา แต่ได้ตำแหน่งเกษตร มหาอุจ มหาจักร ราชาโชค เทวีโชค หน้าอกสวยทุกคนครับ บางคนน่าอกเล็ก แต่ก็สวย มีเสน่ห์มาก ๆ นั่นเองครับ จริง-เทจ อย่างไร ลองใช้หลักวิชาครู ไปสืบค้นหาความจริงกันต่อแล้วกันนะครับศิษย์รักทุกท่าน *ดาวศุภเคราะห์นำหน้าลัคนา ดาวดวงใด ถ้าสถิตอยู่ที่ภพกฎุมภะ จะเรียกดาวดวงนั้นว่าเป็นดาวศูนย์พาหะ และหากว่าดาวศุภเคราะห์ เป็นดาวศูนย์พาหะมักจะมีใบหน้าสวย มีเสน่ห์ ใบหน้าไม่ค่อยจะแก่ หรือไม่ค่อยจะเหี่ยวย่น ดาวต่อไปนี้ เรียกว่า ดาวศุภเคราะห์ ได้แก่... “ดาวจันทร์ ๒ ดาวพุธ ๔ ดาวพฤหัสบดี ๕ และดาวศุกร์ ๖” ดาวนอกจากนี้ จะเรียกกันว่า “ดาวบาปเคราะห์” ได้แก่.... “ดาวอาทิตย์ ๑ ดาวอังคาร ๓ ดาวเสาร์ ๗ ดาวราหู ๘” ส่วนดาวอีก 2 ดวง ได้แก่... ดาวเกตุ ๙ และดาวมฤตยู จะจัดอยู่ในดาวผสมผสาน คือ เมื่ออยู่ร่วมกับดาวบาปเคราะห์ ก็จะกลายเป็นดาวบาปเคราะห์ เมื่ออยู่ร่วมกันกับดาวศุภเคราะห์ ก็จะกลายเป็นดาวศุภเคราะห์ ซึ่งที่กล่าวมา เป็นดาวทั้ง 10 ดวง ในทางโหราศาสตร์ไทย แต่ถ้าเป็นหลักวิชาโหราศาสตร์จักรราศี ในแบบ “กราฟจักรราศี อินทราโหราศาสตร์ไทย ระบบดาวกระจาย” จะมีดาวเพิ่มขึ้นมาอีก 2 ดวง ได้แก่... “ดาวมันนี่เลิฟ M และ ดาวโพเสท P” ซึ่งจะถูกจัดดาวทั้ง 2 ดวงนี้ ให้เป็นดาวในฝั่ง “ดาวศุภเคราะห์” นั่นเองครับ การโคจรของดาวทั้ง 2 ระบบ อันได้แก่... การโคจรของดาวในระบบโหราศาสตร์ไทย ก็จะมีวงโคจรรอบ “เขาพระสุเมรุ” อันเป็นที่อยู่ขององค์พระศิวะ ด้วยเช่นกันกับหลักวิชา “กราฟจักรราศี อินทราราศีจักรสากลโชคมงคลชัยชนะ” และมีสูตรการคำนวณ ในวงโคจรไปตามสูตรในทั้ง 2 แบบ แต่ในแต่ละแบบ หรือในแต่ละระบบ ก็มีสูตรการคำนวณที่แตกต่างกัน แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน คือ ความต้องการในด้านผลลัพธ์ ในหลักการพยากรณ์ดวงชะตา แก้ไข ส่งเสริม พัฒนาสักยภาพของเจ้าของดวงชะตา ให้ตอบโจทย์การใช้ชีวิต ตอบโจทย์ความต้องการของเจ้าของดวงชะตา ให้ได้มากที่สุด ระบบจะดีเพียงใด จะตอบโจทย์ดวงชะตาได้ดีเพียงใด เจ้าของระบบ ไม่สามารถที่จะรับรองอะไรได้ ผู้ที่รับรองได้ คือ ผู้ที่ตั้งโจทย์หรือเจ้าของดวงชะตาดวงนั้นนั่นเอง ระบบในหลักวิชา ครูมองว่า สิ่งที่จะสามารถตอบโจทย์เจ้าของชะตาได้ดี นั่นน่าจะเป็นผู้นำหลักวิชาเอาไปใช้เป็นหลักสำคัญ วิชาดีแค่ไหน ระบบดีแค่ไหน หากว่าผู้นำไปใช้ ไม่มีความรู้ ไม่มีประสบการณ์ ไม่มีความชำนาญที่แท้จริง ระบบใด ๆ เกี่ยวกับหลักวิชาการพยากรณ์ ก็ไม่สามารถตอบโจทย์ได้ดีอย่างแน่นอน สิ่งที่สำคัญ เป็นอันดับต้น ๆ ครูมองว่า น่าจะเป็นผู้นำหลักวิชาไปใช้มากกว่า อาทิเช่น หมอรักษาโรค 10 คน เรียนโรงเรียนเดียวกัน มีอาจารย์คนเดียวกัน ใช้ตำราในแบบเดียวกัน เมื่อมารักษาโรคเดียวกัน หมดอีกคนรักษาได้ดี หมออีกคน รักษาไม่ได้เรื่อง ทั้ง ๆ ที่เรียนโรงเรียนเดียวกัน มีอาจารย์คนเดียวกัน ใช้ตำราในแบบเดียวกัน นั่นเองครับ *ดาวศุภเคราะห์ ส่งผลไปในทิศทางที่นิ่มนวล ค่อยเป็นค่อยไป สบาย ๆ ไม่ลำบาก หากส่งผลดี ก็จะดีในแบบนิ่มนวล บางครั้งไม่สังเกตก็อาจมองไม่เห็น ถ้าส่งผลร้าย ก็จะค่อยแทรกซึม เป็นไปในแบบนิ่ม ๆ ออกไปในทางทุกข์ใจมากกว่าทุกข์กาย ส่วนดาวบาปเคราะห์ ส่งผลไปในทิศทางที่โลดโผด อยู่นิ่งไม่ได้ ส่งผลในแบบจู่โจม จะได้อะไรมาสักทีก็ต้องเหนื่อยซะก่อน หากเกิดผลไม่ดี ก็จะเกิดในแบบโผงผาง ทุกคนเห็นกันไปทั่ว ถ้าส่งผลร้าย ก็จะออกไปในแนวทุกข์กาย มากกว่าทุกใจ นั่นเองครับ *สูตรการคำนวณการโคจรของดาว แม้ว่าจะเป็นคนละสูตรกัน ในแต่ละระบบ แต่เมื่อสมัยก่อน จะเข้าใจได้อย่างชัดเจนว่า ดาวที่กล่าวกันตามสูตร คือ ดาวทิพย์ ที่มองด้วยตา มโนด้วยจิต ใช้หลักความเชื่อเป็นสำคัญ โดยยึดหลักแนวศาสนาเป็นการเชื่อมโยง ยึดการโคจรของดาว สมมุติว่า “โคจรอยู่รอบเขาพระสุเมรุ” แต่ในปัจจุบัน พยายามโยงเข้าสู่วัตถุ มองดาวเป็นดาว ห่างไกลจากความเชื่อในอดีตกันไปทุก ๆ วัน ด้วยโลกวัตถุ แทรกแซงโลกแห่งจิตวิญญาณ จนทำให้โลกจิตวิญญาณ หรือโลกแห่งความเชื่อ จะถูกลบออกจากสารระบบ โดยถูกโลกวัตถุเข้ามาโจรกรรม สวมรอย จนยุคปัจจุบัน ใช้กล้องส่องดูดาว แล้วเอาหลักความเชื่อของเดิมไปโยง แต่ใช้ทฤษฎีใหม่ ในการคำนวณ ทำให้องศา ลิปดา ตามหลักโหราศาสตร์ไทย ในแบบโบราณ เริ่มจะเพี้ยนไป การคิดคำนวณองศา ลิปดา ของวงโคจรของสูตรดาวแต่โบราณ จึงเกิดการผิดเพียนไปจากปฏิทินดาราศาสตร์ในยุคปัจจุบันเข้าไปเรื่อย เป็นเหตุให้ครูต้องนำเอาหลักวิชาของการใช้ดาวทิพย์ คำนวณในทางโหราศาสตร์ไทย ระบบดาวกระจาย นำเอามาเปิดเผย เพื่ออนุรักษ์ความเชื่อ ความรู้ ในเรื่องของดาวทิพย์ ที่ไม่เกี่ยวกับการใช้หลักวัตถุนิยม ขึ้นมาใช้กัน และมีสูตรการคำนวณหาตำแหน่งดาว ที่โคจรในวงรอบจักรราศี ว่าดาวดวงใด ใน 12 ดวง โคจรอยู่ที่ตำแหน่งราศีใด ทั้งพื้นดวงกำเนิด จรปี จรเดือน และจรวัน โดยทิ้งเงื่อนไขขององศา และลิปดาออกไป จัดสูตรจำเพาะ ให้เป็นพลังกราฟขึ้นมาแทน อันเป็นการแยกแยะเกร็ดพลังดาว แทนที่การใช้ องศา ลิปดา ของดาวในแต่ละดวงไป โดยใช้สูตรแรงเหวี่ยง ของดาว ตาม “คัมภีร์อินทรเนตร” มาเป็นสูตรในการใช้คำนวณตำแหน่งดาวทิพย์ ให้ได้ใช้งานกันในแง่มุมของการพยากรณ์ดวงชะตา ตามหลักวิชานั่นเองครับ 💗 ให้ความรู้โดย.... ปรมาจารย์ เจียระไน โชคมงคลชัยชนะ ID Line: aj.jiaranai
2
0 Комментарии 0 Поделились
Спонсоры

👌 เสกไพ่แบบไหนให้ศักดิ์สิทธิ์

👌 เสกไพ่แบบไหนให้ศักดิ์สิทธิ เรียนทำนายไพ่แบบไหนให้ทายแม่น เก่งเร็ว เริ่มปูพื่นฐานจาก 0 เรียนได้ในทุกคน เรียนง่าย เรียนได้ด้วยตนเอง ด้วยงบ 299 บาท ☄ สุดยอดไฟล์ตำราวิชา "ไพ่ยิปซี...